เคยมีคนกล่าวว่าควรถามตนเองทุกวัน ว่าวันนี้ทำสิ่งดีๆ อะไรให้แก่ชีวิตบ้าง เกิดคำถามในใจทันทีว่าชีวิตคืออะไร ตอบยาก ความหมายของคำว่า “ชีวิต” จึงยังติดค้างอยู่ในใจ ดูคล้ายจะเข้าใจ แต่ไม่เข้าใจ พยายามจะนิยามออกมาแต่ไม่ได้ซักที ตอบได้เพียงว่า ชีวิตเป็นอะไรที่ไม่หยุดนิ่ง ชีวิตของเราก็คือตัวเราที่ยังมีลมหายใจ มีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึก ที่สำคัญมีหัวใจ แต่ไม่ใช่หัวใจที่บีบเลือดไปเลี้ยงร่างกาย หัวใจในที่นี้เป็น เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จึงยัง..งง กับความหมาย และลืมที่จะสงสัยไประยะหนึ่ง จวบจนหยิบหนังสือของท่าน ติช นัท ฮันห์ มาอ่าน ติดตรึงใจตรงคำสนทนาของท่านกับศิษย์ชื่อสตีฟ ในเรื่อง “ลมหายใจของซู” ซึ่งอ่านจบเล่มไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นไม่ติดใจอะไร แต่อ่านครั้งที่สองเกิดติดใจ
ซู เป็นชื่อลูกสาวเพิ่งเกิดใหม่ของสตีฟ ท่านฮันห์เขียนจดหมายเล่าเกี่ยวกับสตีฟให้ควงศิษย์อีกคนหนึ่งอ่านว่า ตั้งแต่สตีฟมีลูกสาว สตีฟต้องผลัดกับภรรยาตื่นขึ้นมาดูซูคืนละหลายๆ หน เพื่อจะดูว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ และ ๒-๓ สัปดาห์ที่ผ่านมาภรรยของเขาเหนื่อยอ่อนมาก สตีฟจึงต้องเป็นผู้ตื่นขึ้นมาดูเพียงคนเดียวทั้งคืน ท่านฮันห์ จึงถามสตีฟ เมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยของเขาว่า... ชีวิตครอบครัวเป็นอย่างไร ราบรื่นดีมั้ย สตีฟไม่ตอบ ท่านจึงถามอีกว่า ชีวิตที่มีครอบครัว กับชีวิตโสด อย่างไหนจะมีความสุขกว่ากัน... ท่านเห็นสตีฟโคลงศีรษะ และ ตอบพึมพำในลำคอคนเดียว ต่อมาได้กลับมาเล่าอย่างอมยิ้มว่าเขาได้ค้นพบวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีเวลาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ข้อค้นพบนั้นก็คือ สตีฟไม่แบ่งเวลาเป็นส่วนๆ เหมือนเมื่อก่อน เช่นส่วนหนึ่งสำหรับลูกคนโต เพื่อสอนทำการบ้าน อีกส่วนหนึ่งสำหรับลูกคนเล็ก เพื่อการเตรียมขวดนม และส่วนสำหรับภรรยา คือช่วยเอาผ้าไปส่งซักที่ร้าน เวลาที่เหลือเป็นของตนเอง การอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานวิจัย เยอะไปหมด ถ้าทำกิจกรรมโดยแยกกันเป็นส่วนๆ ทำให้รู้สึกว่ามีเวลาไม่พอ ขณะที่เขาทำงานที่คิดว่าแบ่งให้ลูกชายคนโต ในใจเขาก็คิดถึงงานที่จะต้องทำให้ลูกคนเล็ก และภรรยา
เดี๋ยวนี้สตีฟคิดใหม่ เวลาที่ให้ลูกชายคนโต ลูกคนเล็ก ภรรยา เขาถือว่าเป็นเวลาของเขาเองด้วยเหมือนกัน ขณะที่อ่านนิทานให้ลูกฟัง เขาให้ความสนใจในสิ่งนั้นร่วมกันกับลูก มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันกาลร่วมกับลูกชาย และเขาก็ทำเช่นนี้กับภรรยาด้วย และพบสิ่งที่น่าทึ่งมาก... เขามีเวลาไม่สิ้นสุดให้แก่ตัวเอง …ตำตอบของสตีฟ แม้จะไม่บอกว่าชีวิตครอบครัวเป็นอย่างไร ก็อนุมานได้ว่าช่วงหลังดีกว่าช่วงแรก คำอธิบายของสตีฟ บอกให้รู้ว่าความหมายของชีวิต เป็นสิ่งที่อยู่ภายในเนื้อตัวของเรา
ชีวิตไม่ได้จำกัดเพียงแค่ การหายใจ การกิน การนอนหลับ การเป็นอยู่ และการทำงาน อย่างหนึ่งอย่างใด แต่คือส่วนผสมรวมๆ กันของทุกสิ่งที่เราเกี่ยวข้องด้วย ไม่เว้นแต่สภาพแวดล้อม คน สัตว์ สิ่งของ ต้นไม้ สังคม ศาสนา การเมืองฯลฯ จะเห็นว่าในช่วงที่มีการเลือกข้างระหว่างสีเหลืองกับสีแดงในบ้านเรา เสียงจากข้างในตัวเราบอกว่าชีวิตช่วงนั้นแย่จริงๆ ลองทบทวนว่าเวลาที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กดดัน ปรักปรำ กล่าวโทษกัน หาคนผิด เรารู้สึกจากข้างในว่าไม่มีความสุข แม้คนที่ถูกปรักปรำไม่ใช่เรา
ดังนั้นจึงตอบคำถามโดยไม่ลังเลว่า วันนี้ทำอะไรให้แก่ชีวิตบ้าง และตัววัดก็ชัดมาก คือ ถ้าทำแล้วรู้สึกโปร่งเบา เบิกบานใจ แปลว่าเราให้สิ่งดีแก่ชีวิตแล้ว อย่างวันนี้เป็นต้น ถ้าถามว่าวันนี้ให้อะไรดีๆ แก่ชีวิต สิ่งแรกคือ การตื่นแต่เช้ามาถูบ้าน ทำให้บ้านแลดูสะอาด ขณะถูบ้านใจก็อยู่กับการถูทำให้อยู่กับปัจจุบัน การนั่งลงเขียนบันทึกเรื่องเล่าของตัวเองขณะนี้ ก็ถือว่าทำสิ่งดีให้ชีวิตอีกอย่างหนึ่ง เพราะทำให้ได้หยุดทบทวน และรู้ตัวว่าทำอะไรไปบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา บางครั้งได้เห็นการกระทำ คำพูดที่ไม่ดีของตนเอง ก็รู้ว่าเราจะไม่ทำอะไรที่ไม่ดีอย่างนั้นอีก และหากกลับไปแก้ไขได้ก็จะทำ เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกผิด การบันทึกจึงเท่ากับการยืนอยู่หน้ากระจกเงา มองดูพฤติกรรม ความคิดของตนเอง ได้ขัดเกลาตัวตน อย่างไรก็ตามเรื่องดีที่ทำให้แก่ชีวิตเรื่องที่สามในวันนี้ ก็คือการโทรศัพท์ไปหาพี่สาวสอบถามทุกข์สุข ตั้งแต่เสร็จงานศพคุณแม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ยังไม่ได้ส่งข่าวถึงกัน หลังจากคุยกันจึงทราบข่าวร้ายว่าน้าชายที่ป่วยอยู่เสียชีวิตตามคุณแม่เราไปอีกคนแล้ว พี่สาวและน้องๆ กำลังกังวลใจว่าไม่สามารถไปร่วมงานศพได้ เพราะซินแสที่ทำพิธีฝังศพคุณแม่ขอร้องไว้ว่าก่อนตรุษจีนพวกเราไม่ควรไปงานศพใครๆ แม้แต่ญาติสนิท การทักท้วงไว้ก่อนสร้างความลังเลใจให้แก่พวกเรา เป็นเรื่องยากจริงๆที่จะทำใจเกี่ยวกับการไม่ไปงานศพครั้งนี้ แต่ก็ไม่อาจรับได้หากไปแล้วอนาคตมีอะไรเกิดขึ้น เป็นเรื่องของความเชื่อ แต่ที่สุดแล้วพี่สาวตัดสินใจไม่ไปร่วมงาน จึงรับอาสาโทรศัพท์ไปแสดงความเสียใจกับน้าสะใภ้ และบอกความจำเป็นที่จะไม่ได้ไปร่วมให้กำลังใจ หวังว่าน้าจะเข้าใจพวกเรา ขอให้วิญญาณของน้าไปจุติในภพภูมิสวรรค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น