สวัสดีค่ะ วันนี้ขอแนะนำโครงการ E-learning ของภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี หลายคนอาจจะสงสัยว่า E-learning คืออะไร จำเป็นอย่างไรต่อการจัดการศึกษา ถ้าจะเริ่มจัดการเรียนการสอนแบบE-learning จะเริ่มต้นกันอย่างไร มีกลยุทธ์อะไรที่ทำให้การบริหารจัดการศึกษาแบบอีเลิร์นนิงก้าวหน้าไปได้
โลกปัจจุบัน เป็นโลกแห่งการสื่อสารด้วยเทคโนโลยี ทางระบบออนไลน์ ซึ่งกำลังก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง นักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องมีความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีต่างๆควบคู่ไปกับความรู้ความสามารถทางวิชาชีพการพยาบาล
ดังนั้นภาควิชาพยาบาลศาสตร์จึงได้นำการเรียนการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์มาผสมผสานไปกับการเรียนการสอนในห้องเรียน ทำให้นักศึกษาพยาบาลมีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อที่จะได้สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานในอนาคตการทำงานจริงต่อไปได้
E-learning หรือที่เรียกเต็มๆว่า Electronic-learning คือการใช้สื่อการเรียนการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาช่วยในการเรียนการสอน มีทั้งแบบที่ใช้เสริมการเรียนการสอนในห้องเรียน และ แบบใช้ร่วมกับการเรียนการสอนในห้องเรียนเรียกว่าBlended E-learning จนถึงการเรียนด้วย E-learning เต็มระบบ
วันนี้ เราจะมาสัมภาษณ์ รองศาสตราจารย์รุจิเรศ ธนูรักษ์ ในโอกาสที่วิชาหลักและกระบวนการเรียนการสอนสุขศึกษาที่อาจารย์เป็นผู้รับผิดชอบได้รับการคัดเลือกให้รับรางวัลที่๑ ในการจัดประกวดบทเรียนอีเลิร์นนิงของโครงการพัฒนา การเรียนการสอนด้วยสื่ออีเล็คทรอนิกส์/อีเลิร์นนิง ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โดยรองศาสตราจารย์ดร.อนุชัย ธีระเรืองไชศรีจากโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย(TCU) สังกัดสำนักงานคณะ กรรมการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ กรุณานำทีมมาตัดสินผลร่วมกับคณะกรรมการภายในของภาควิชาพยาบาลศาสตร์
รองศาสตราจารย์รุจิเรศเล่าอย่างภูมิใจว่าทาง TCU ให้เกียรติอาจารย์ในฐานะผู้ริเริ่มพัฒนาโครงการสอนแบบอีเลิร์นนิง เป็นการสอนระดับอุดมศึกษา และ อาจารย์ดร.สตรีรัตน์ ธาดากานต์ เป็นประธานโครงการฯ ให้ไปร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในการประชุม WUNCA2011 ซึ่งจัดในระหว่างวันที่ 26-28 มกราคม 2554 ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โครงการอีเลิร์นนิงของภาควิชาพยาบาลศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนด้านวิชาการ และพื้นที่บนระบบออนไลน์จากมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย ซึ่งได้รับคำชมเชยว่าเป็นโครงการที่เริ่มต้นได้ดี ถือว่าเป็น Success Case
อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้อาจารย์ริเริ่มโครงการอีเลิร์นนิง
อาจารย์รุจิเรศ เปิดเผยว่าสนใจ และดำเนิน การพัฒนาการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้-ตลอดชีวิต มาอย่างต่อเนื่อง และประจักษชัดว่าระบบการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิง เป็นเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่ง ที่ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้แก่ผู้เรียน ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยถามตนเองว่าทำไมต้องใช้อีเลิร์นนิงในการจัดการเรียนการสอน....แล้วอาจารย์ก็ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า เพื่อขยายโอกาสสู่ผู้เรียนที่มีข้อจำกัด คนที่เรียนอ่อน สามารถเรียนทันคนเก่ง ส่วนคนเก่งอยู่แล้ว สามารถเรียนล้ำหน้าคนที่เรียนอ่อน หรือคนที่เรียนระดับกลางๆ ได้เช่นกัน ที่สำคัญต้องการส่งเสริมให้นักศึกษาพยาบาลมีความพร้อมในการอยู่ในสังคมยุคใหม่ คือ ยุคของWeb 2.0 ยุคที่มีการสื่อสารกันในสังคมเครือข่าย ซึ่งมีการแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน
แม้ว่าอาจารย์จะเป็นคนยุคซิกส์ตี้ แต่อาจารย์ก็เรียนรู้ตลอดเวลาจากออนไลน์ และมีความเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่เคยมีคำว่าสิ้นสุด เพื่อริเริ่มโครงการอีเลิร์นนิงของภาควิชาพยาบาลศาสตร์ อาจารย์ตัดสินใจลงทะเบียนเรียนหลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญอีเลิร์นนิง สาขาผู้บริหารโครงการอีเลิร์นนิง ของมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย ด้วยตนเอง เป็นหลักสูตรที่เรียนแบบอีเลิร์นนิงเต็มระบบ แล้วอาจารย์ก็ได้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอีเลิร์นนิง เทคโนโลยีในการนำส่งเนื้อหา นวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับการจัดการเรียนการสอน และ การประเมินผลคอร์สแวร์และสื่อการสอน อาจารย์เล่าว่าการพาตัวเข้าไปเป็นผู้เรียน ทำให้อาจารย์มีประสบการณ์ตรงในการเรียน ช่วยให้เข้าใจปัญหาและความต้องการของผู้เรียนแบบอีเลิร์นนิงได้ดียิ่งขึ้น อาจารย์นำประสบการณ์เหล่านั้น และความรู้ที่เรียนแม้จะยังไม่จบหลักสูตรมาใช้ ถือว่าเป็นแบบฝึกหัดที่ตรงตามสภาพจริง อาจารย์ได้สังเกต จดจำลักษณะบทเรียนที่กำลังเรียน ในหลักสูตร และนำมาออกแบบการสอนแบบอีเลิร์นนิงในวิชาของอาจารย์เอง อาจารย์ย้ำว่าแรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญ และสร้างได้
อาจารย์พัฒนาระบบอีเลิร์นนิง ของภาควิชาพยาบาลศาสตร์มาตั้งแต่เมื่อไร และอย่างไร
อาจารย์เล่าว่า ผู้บริหารการศึกษาในอดีตของภาควิชาพยาบาลศาสตร์เคยทำแผนพัฒนาอีเลิร์นนิงไว้แล้ว อยู่ในแผนปี2545-2549 แต่คงเป็นเพราะจังหวะและโอกาสยังไม่เอื้ออำนวย การดำเนินงานที่ผ่านมา จึงยังเป็นเพียงการจัดอบรมอาจารย์ให้ใช้โปรแกรมช่วยผลิตสื่ออิเล็คทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่ และยังไม่มีการติดตามความก้าวหน้าอย่างจริงจัง ที่จริงแล้วเคยมีการทดลองทำอีเลิร์นนิงด้วยโปรแกรมMoodle ซึ่งเป็น free software แต่ก็ยังมีอุปสรรคตลอดมา เพราะต้องฝากข้อมูลไว้ในserver ของคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และขาดผู้ดูแลเป็นเรื่องเป็นราว มายุคที่อาจารย์เป็นผู้บริหารการศึกษา จึงได้ทบทวนกลยุทธ์ใหม่ และเจรจาขอความช่วยเหลือไปยังโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย ซึ่งให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศ ด้านการสอนแบบอีเลิร์นนิง อยู่แล้ว
อาจารย์ให้ทรรศนะอย่างเข้มแข็งว่า “ การทำแผนกลยุทธ์เป็นสิ่งที่จำเป็น รวมถึงความมุ่งมั่น ความต่อเนื่อง และการประกาศเจตจำนงที่ชัดเจน ประกอบกับการสื่อสารให้ผู้บังคับบัญชาเข้าใจ และ ที่สำคัญที่สุดคือทีมงานที่แข็งขัน และผู้บริหารที่จริงใจ” จุดเริ่มต้น ก่อนสร้างระบบสนับสนุนการสอนแบบอีเลิร์นนิงครั้งนี้ อาจารย์ได้สำรวจความคิดเห็น และความพึงพอใจของเพื่อนอาจารย์ในภาควิชาฯ เกี่ยวกับการสอนแบบอีเลิร์นนิงที่รู้จัก แล้วก็พบว่า ความคิดเกี่ยวกับอีเลิร์นนิงของอาจารย์ในภาควิชาฯ ยังไม่แจ่มชัด ความเข้าใจแตกต่าง หลากหลายมาก อุปสรรคที่บรรดาอาจารย์กล่าวถึงคือ ขาดองค์ความรู้ ไม่มีคนช่วยเหลือ ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์สนับสนุน และที่สำคัญอาจารย์ไม่มีเวลา หลายคนบอกว่ายังไม่พร้อมจะทำการสอนวิธีนี้ อาจารย์ได้นำข้อปัญหาเหล่านี้มาใคร่ครวญร่วมกับคณะกรรมการและผู้รู้ที่อาจารย์รู้จัก
ระบบอีเลิร์นนิงของภาควิชาพยาบาลศาสตร์ไปถึงไหน ได้รับการสนับสนุนเพียงใด
ณ ขณะนี้ ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ได้จัดทำ E-learning ผ่านมาแล้ว 1 เทอม และกำลังเริ่มต้นจัดทำในเทอมที่ 2 อย่างต่อเนื่อง จากที่ผ่านมาเป็นเวลา 1 เทอมนั้น ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีทั้งนักศึกษา และอาจารย์ โดยในเทอมแรกมีเป้าหมายว่าจะมีวิชาที่เข้าใช้งานจำนวน 10 วิชา แต่พอเปิดใช้งานจริงกลับมีอาจารย์สนใจใช้งานถึง 13 วิชา ขณะนี้นักศึกษาและอาจารย์หลายๆท่านรู้จักระบบนี้เพิ่มขึ้นมาก ที่เป็นเช่นนี้เพราะหัวหน้าภาควิชาพยาบาลศาสตร์ให้การสนับสนุน เต็มที่ และนำกลยุทธ์การทำ Performance agreement มาใช้กับสาขาวิชาต่างๆ
การใช้งาน E-learning ของภาควิชาพยาบาลศาสตร์นั้นมีหลายรูปแบบ บ้างเป็นเพียงการนำสื่อการสอนขึ้นโพสต์ในห้องเรียนออนไลน์ บ้างเป็นการให้โอกาสนักศึกษาเข้าศึกษาความรู้และการปฏิบัติจากสื่อที่โพสต์ไว้ และทำแบบทดสอบ บ้างใช้เป็นส่วนหนึ่งของการสอนในห้องเรียนปกติ เพื่อจะใช้เวลาให้มากขึ้น ในการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมในห้องเรียน โดยไม่ต้องกังวลกับเนื้อหาวิชาที่ต้องการให้เรียนรู้ ทั้งนี้อาจารย์เพียงนำเสนอข้อมูลที่เป็นหัวใจของเนื้อหาวิชาในห้องเรียน และให้นักศึกษาเข้าไปศึกษาต่อยอดในระบบ E-learning เองอีกทางหนึ่ง ในด้านแบบทดสอบความรู้ด้วยตนเองผ่านระบบ E-learning สามารถสร้างได้หลากหลายรูปแบบ เช่น แบบเลือกตอบ ถูก-ผิด หรือจับคู่ เป็นต้น เมื่อทำการทดสอบแล้ว สามารถเก็บคะแนนเข้าไว้ในระบบให้อาจารย์เข้าดูผลในภายหลังได้
นอกจากนี้ยังมีระบบกระดานข่าวที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนกับอาจารย์ สามารถปรึกษา พูดคุยสอบถามปัญหาข้อสงสัยซึ่งกันและกันโดยไม่จำกัดเวลาอยู่เฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น ทำให้เปิดกว้างโอกาสในการศึกษามากขึ้น อย่างไรก็ตามในประเด็นนี้ อาจารย์ย้ำว่าต้องสร้างวินัยในการเข้าเรียน และในการเข้าพบกันตามนัดของทั้งสองฝ่าย
ส่วนการนำส่งเนื้อหาวิชาขึ้นระบบ E-learning นั้นมีได้หลายหลายรูปแบบตั้งแต่เป็นไฟล์เอกสารพื้นฐาน เช่น Ms-Word, Ms-PowerPoint, Ms-Excel หรือ PDF ไปจนถึงการทำ animationต่างๆ เช่น flash เพื่อทำให้การเรียนการสอนดึงดูดใจผู้เรียนมากขึ้น รวมทั้งยังมีการการบันทึกวีดีโอการสอนสดของอาจารย์ในห้องเรียนและนำมาขึ้นระบบ เพื่อให้นักศึกษาสามารถดูทบทวนย้อนหลังได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษารุ่นนี้และรุ่นถัดไป หรือจะเป็นวีดีโอที่เป็นเนื้อหาที่ควรรู้ แต่เวลาไม่พอในชั้นเรียน ก็สามารถนำมาเพิ่มเติมในจุดนี้ได้เช่นกัน
อาจารย์ใช้กลยุทธ์อะไร จึงทำให้โครงการนี้มีความก้าวหน้าอย่างชัดเจน
อาจารย์คิดอยู่พักหนึ่งและเริ่มทยอยบอกเล่าออกมาเรื่อยๆ สรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้
1. การทำแผน แผนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แผนจะทำให้ผู้บริหารระดับต่างๆ ตัดสินใจอนุมัติงบประมาณลงมาสนับสนุน
2. โครงการต้องมีผู้รับผิดชอบ เรามีคณะกรรมการพัฒนาระบบเรียกว่าคณะกรรมการพัฒนาการเรียนการสอน โดยใช้สื่ออิเล็คทรอนิกส์/ อีเลิร์นนิง ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ และโชคดีที่ได้อาจารย์ดร.สตรีรัตน์ ธาดากานต์ เป็นประธานโครงการ ซึ่งมีความตั้งใจ บริหารโครงการ ร่วมกับทีมงานที่กล้าคิดสร้างสรรค์ กล้าลอง เราเริ่มต้นที่แกนนำก่อน มีการจัดอบรมคณะกรรมการที่เป็นแกนนำ และนำร่องผลิตบทเรียนของตนเองก่อนไม่จำเป็นต้องทำทั้งรายวิชา ใครรับผิดชอบสอนเรื่องใดให้เริ่มในขอบเขตของตน
3. การให้การช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ทางโครงการได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติให้คณาจารย์ กลุ่มไม่ใหญ่เกินไปนัก เป็นชุดความรู้ในการปฏิบัติโดยให้หลักการ แนวคิด ให้ลงมือฝึกปฏิบัติจริง และมอบการบ้านไปทดลองออกแบบการสอนของตน หลังจากนั้น นำมาเสนอในการประชุมครั้งที่สอง โดยมีวิทยากรจากโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย มาร่วมให้ข้อเสนอแนะ
4. นโยบายของหลักสูตร ภาควิชาพยาบาลศาสตร์ กำหนดการทำการสอนแบบอีเลิร์นนิง เป็นข้อตกลงการทำงานของอาจารย์ โดยทุกสาขาต้องมีการสอนแบบอีเลิร์นนิง อย่างน้อย 1 รายวิชา และจัดระบบให้เจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สื่อสารให้อาจารย์ทราบข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการใช้บริการ การสร้างบทเรียน E-Learning ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการพัฒนาเวบการศึกษาออนไลน์ขึ้นสำหรับใช้สื่อสารกันในภาควิชาพยาบาลศาสตร์ ระหว่างหลักสูตรกับนักศึกษา และอาจารย์
5. มีการจัดระบบให้การช่วยเหลือ โดยจัดบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งส่งมาเรียนรู้กับTCU และประสานกับฝ่ายเทคนิคTCUอย่างใกล้ชิด ซึ่งโชคดีได้รับความช่วยเหลืออย่างดียิ่ง อาจารย์ย้ำว่างานด้านE-Learning นี้ควรอยู่ภายใต้กำกับของฝ่ายการศึกษาจึงจะดูแลคุณภาพการเรียนการสอนได้ดี
6. การให้แรงจูงใจ ด้วยการช่วยเหลือของTCU อาจารย์ได้รับโอกาสให้เข้าเยี่ยมห้องเรียนออนไลน์ของสถาบันที่ดำเนินการสอนไปแล้ว ทำให้อาจารย์เปิดโอกาสให้อาจารย์ของภาควิชาฯ ที่สนใจจะสร้างบทเรียนได้เข้าเยี่ยมชมห้องเรียนของแกนนำด้วย นอกจากนี้อาจารย์ได้ใช้กลยุทธ์เสริม คือการประกาศเกียรติคุณคณาจารย์ที่ทุ่มเทเวลาในการสอนแบบ E-Learning โดยการคัดเลือกให้เข้ารับรางวัลจากผู้บริหารสูงสุดของภาควิชา และมีแผนการจัด Show Case ในการประชุม E-Learning ระยะที่สอง ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น โดยคาดหวังจะพัฒนาบทเรียนให้มีชีวิตมากขึ้น กล่าวคือมีการปฏิสัมพันธ์ไปมาระหว่างอาจารย์ และนักศึกษา
7. สุดท้าย ผู้บริหารและกรรมการโครงการ ควรติดตามความก้าวหน้าของอีเลิร์นนิง อย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดโลกทัศน์ และทันเหตุการณ์ กรณีการเริ่มโครงการอีเลิร์นนิงของภาควิชาพยาบาลศาสตร์ในครั้งนี้ ประธาน และที่ปรึกษาโครงการได้รับอนุมัติให้เดินทางไปศึกษาดูงานการจัดระบบสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิงที่University of Sidney และ กรรมการที่เป็นแกนนำได้ยกทีมมาศึกษาดูงานการสนับสนุนระบบอีเลิร์นนิงของโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากในการดำเนินโครงการ
สุดท้าย อาจารย์บอกว่าอยากจะฝากการเรียนการสอนแบบ E-learning ไว้กับอาจารย์และนักศึกษา ให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการถ่ายทอดและศึกษาหาความรู้ ปัจจุบันนี้ ความรู้มิได้จำกัดยู่เพียงแต่ในห้องเรียนเท่านั้น ยังสามารถแผ่ขยายออกไปอยู่ในทุกๆที่ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายสังคม เช่น Face book, Twitter, YouTube, Blog , Gmail , SMS, MSN, ก็สามารถนำไปสู่การเรียนรู้แบบVirtual learning ได้ ขอให้หาทางใช้มันให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่า อาจารย์ปิดท้ายการสัมภาษณ์ว่า .........
“ หากเราไม่ปิดกั้นตนเอง ก็จะพบว่าเราสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกโอกาส ”
The Courager
Let your life speaking
วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554
วันนี้คุณทำอะไรให้แก่ชีวิต .....
เคยมีคนกล่าวว่าควรถามตนเองทุกวัน ว่าวันนี้ทำสิ่งดีๆ อะไรให้แก่ชีวิตบ้าง เกิดคำถามในใจทันทีว่าชีวิตคืออะไร ตอบยาก ความหมายของคำว่า “ชีวิต” จึงยังติดค้างอยู่ในใจ ดูคล้ายจะเข้าใจ แต่ไม่เข้าใจ พยายามจะนิยามออกมาแต่ไม่ได้ซักที ตอบได้เพียงว่า ชีวิตเป็นอะไรที่ไม่หยุดนิ่ง ชีวิตของเราก็คือตัวเราที่ยังมีลมหายใจ มีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึก ที่สำคัญมีหัวใจ แต่ไม่ใช่หัวใจที่บีบเลือดไปเลี้ยงร่างกาย หัวใจในที่นี้เป็น เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จึงยัง..งง กับความหมาย และลืมที่จะสงสัยไประยะหนึ่ง จวบจนหยิบหนังสือของท่าน ติช นัท ฮันห์ มาอ่าน ติดตรึงใจตรงคำสนทนาของท่านกับศิษย์ชื่อสตีฟ ในเรื่อง “ลมหายใจของซู” ซึ่งอ่านจบเล่มไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นไม่ติดใจอะไร แต่อ่านครั้งที่สองเกิดติดใจ
ซู เป็นชื่อลูกสาวเพิ่งเกิดใหม่ของสตีฟ ท่านฮันห์เขียนจดหมายเล่าเกี่ยวกับสตีฟให้ควงศิษย์อีกคนหนึ่งอ่านว่า ตั้งแต่สตีฟมีลูกสาว สตีฟต้องผลัดกับภรรยาตื่นขึ้นมาดูซูคืนละหลายๆ หน เพื่อจะดูว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ และ ๒-๓ สัปดาห์ที่ผ่านมาภรรยของเขาเหนื่อยอ่อนมาก สตีฟจึงต้องเป็นผู้ตื่นขึ้นมาดูเพียงคนเดียวทั้งคืน ท่านฮันห์ จึงถามสตีฟ เมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยของเขาว่า... ชีวิตครอบครัวเป็นอย่างไร ราบรื่นดีมั้ย สตีฟไม่ตอบ ท่านจึงถามอีกว่า ชีวิตที่มีครอบครัว กับชีวิตโสด อย่างไหนจะมีความสุขกว่ากัน... ท่านเห็นสตีฟโคลงศีรษะ และ ตอบพึมพำในลำคอคนเดียว ต่อมาได้กลับมาเล่าอย่างอมยิ้มว่าเขาได้ค้นพบวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีเวลาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ข้อค้นพบนั้นก็คือ สตีฟไม่แบ่งเวลาเป็นส่วนๆ เหมือนเมื่อก่อน เช่นส่วนหนึ่งสำหรับลูกคนโต เพื่อสอนทำการบ้าน อีกส่วนหนึ่งสำหรับลูกคนเล็ก เพื่อการเตรียมขวดนม และส่วนสำหรับภรรยา คือช่วยเอาผ้าไปส่งซักที่ร้าน เวลาที่เหลือเป็นของตนเอง การอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานวิจัย เยอะไปหมด ถ้าทำกิจกรรมโดยแยกกันเป็นส่วนๆ ทำให้รู้สึกว่ามีเวลาไม่พอ ขณะที่เขาทำงานที่คิดว่าแบ่งให้ลูกชายคนโต ในใจเขาก็คิดถึงงานที่จะต้องทำให้ลูกคนเล็ก และภรรยา
เดี๋ยวนี้สตีฟคิดใหม่ เวลาที่ให้ลูกชายคนโต ลูกคนเล็ก ภรรยา เขาถือว่าเป็นเวลาของเขาเองด้วยเหมือนกัน ขณะที่อ่านนิทานให้ลูกฟัง เขาให้ความสนใจในสิ่งนั้นร่วมกันกับลูก มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันกาลร่วมกับลูกชาย และเขาก็ทำเช่นนี้กับภรรยาด้วย และพบสิ่งที่น่าทึ่งมาก... เขามีเวลาไม่สิ้นสุดให้แก่ตัวเอง …ตำตอบของสตีฟ แม้จะไม่บอกว่าชีวิตครอบครัวเป็นอย่างไร ก็อนุมานได้ว่าช่วงหลังดีกว่าช่วงแรก คำอธิบายของสตีฟ บอกให้รู้ว่าความหมายของชีวิต เป็นสิ่งที่อยู่ภายในเนื้อตัวของเรา
ชีวิตไม่ได้จำกัดเพียงแค่ การหายใจ การกิน การนอนหลับ การเป็นอยู่ และการทำงาน อย่างหนึ่งอย่างใด แต่คือส่วนผสมรวมๆ กันของทุกสิ่งที่เราเกี่ยวข้องด้วย ไม่เว้นแต่สภาพแวดล้อม คน สัตว์ สิ่งของ ต้นไม้ สังคม ศาสนา การเมืองฯลฯ จะเห็นว่าในช่วงที่มีการเลือกข้างระหว่างสีเหลืองกับสีแดงในบ้านเรา เสียงจากข้างในตัวเราบอกว่าชีวิตช่วงนั้นแย่จริงๆ ลองทบทวนว่าเวลาที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กดดัน ปรักปรำ กล่าวโทษกัน หาคนผิด เรารู้สึกจากข้างในว่าไม่มีความสุข แม้คนที่ถูกปรักปรำไม่ใช่เรา
ดังนั้นจึงตอบคำถามโดยไม่ลังเลว่า วันนี้ทำอะไรให้แก่ชีวิตบ้าง และตัววัดก็ชัดมาก คือ ถ้าทำแล้วรู้สึกโปร่งเบา เบิกบานใจ แปลว่าเราให้สิ่งดีแก่ชีวิตแล้ว อย่างวันนี้เป็นต้น ถ้าถามว่าวันนี้ให้อะไรดีๆ แก่ชีวิต สิ่งแรกคือ การตื่นแต่เช้ามาถูบ้าน ทำให้บ้านแลดูสะอาด ขณะถูบ้านใจก็อยู่กับการถูทำให้อยู่กับปัจจุบัน การนั่งลงเขียนบันทึกเรื่องเล่าของตัวเองขณะนี้ ก็ถือว่าทำสิ่งดีให้ชีวิตอีกอย่างหนึ่ง เพราะทำให้ได้หยุดทบทวน และรู้ตัวว่าทำอะไรไปบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา บางครั้งได้เห็นการกระทำ คำพูดที่ไม่ดีของตนเอง ก็รู้ว่าเราจะไม่ทำอะไรที่ไม่ดีอย่างนั้นอีก และหากกลับไปแก้ไขได้ก็จะทำ เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกผิด การบันทึกจึงเท่ากับการยืนอยู่หน้ากระจกเงา มองดูพฤติกรรม ความคิดของตนเอง ได้ขัดเกลาตัวตน อย่างไรก็ตามเรื่องดีที่ทำให้แก่ชีวิตเรื่องที่สามในวันนี้ ก็คือการโทรศัพท์ไปหาพี่สาวสอบถามทุกข์สุข ตั้งแต่เสร็จงานศพคุณแม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ยังไม่ได้ส่งข่าวถึงกัน หลังจากคุยกันจึงทราบข่าวร้ายว่าน้าชายที่ป่วยอยู่เสียชีวิตตามคุณแม่เราไปอีกคนแล้ว พี่สาวและน้องๆ กำลังกังวลใจว่าไม่สามารถไปร่วมงานศพได้ เพราะซินแสที่ทำพิธีฝังศพคุณแม่ขอร้องไว้ว่าก่อนตรุษจีนพวกเราไม่ควรไปงานศพใครๆ แม้แต่ญาติสนิท การทักท้วงไว้ก่อนสร้างความลังเลใจให้แก่พวกเรา เป็นเรื่องยากจริงๆที่จะทำใจเกี่ยวกับการไม่ไปงานศพครั้งนี้ แต่ก็ไม่อาจรับได้หากไปแล้วอนาคตมีอะไรเกิดขึ้น เป็นเรื่องของความเชื่อ แต่ที่สุดแล้วพี่สาวตัดสินใจไม่ไปร่วมงาน จึงรับอาสาโทรศัพท์ไปแสดงความเสียใจกับน้าสะใภ้ และบอกความจำเป็นที่จะไม่ได้ไปร่วมให้กำลังใจ หวังว่าน้าจะเข้าใจพวกเรา ขอให้วิญญาณของน้าไปจุติในภพภูมิสวรรค์
ซู เป็นชื่อลูกสาวเพิ่งเกิดใหม่ของสตีฟ ท่านฮันห์เขียนจดหมายเล่าเกี่ยวกับสตีฟให้ควงศิษย์อีกคนหนึ่งอ่านว่า ตั้งแต่สตีฟมีลูกสาว สตีฟต้องผลัดกับภรรยาตื่นขึ้นมาดูซูคืนละหลายๆ หน เพื่อจะดูว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ และ ๒-๓ สัปดาห์ที่ผ่านมาภรรยของเขาเหนื่อยอ่อนมาก สตีฟจึงต้องเป็นผู้ตื่นขึ้นมาดูเพียงคนเดียวทั้งคืน ท่านฮันห์ จึงถามสตีฟ เมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยของเขาว่า... ชีวิตครอบครัวเป็นอย่างไร ราบรื่นดีมั้ย สตีฟไม่ตอบ ท่านจึงถามอีกว่า ชีวิตที่มีครอบครัว กับชีวิตโสด อย่างไหนจะมีความสุขกว่ากัน... ท่านเห็นสตีฟโคลงศีรษะ และ ตอบพึมพำในลำคอคนเดียว ต่อมาได้กลับมาเล่าอย่างอมยิ้มว่าเขาได้ค้นพบวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีเวลาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ข้อค้นพบนั้นก็คือ สตีฟไม่แบ่งเวลาเป็นส่วนๆ เหมือนเมื่อก่อน เช่นส่วนหนึ่งสำหรับลูกคนโต เพื่อสอนทำการบ้าน อีกส่วนหนึ่งสำหรับลูกคนเล็ก เพื่อการเตรียมขวดนม และส่วนสำหรับภรรยา คือช่วยเอาผ้าไปส่งซักที่ร้าน เวลาที่เหลือเป็นของตนเอง การอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานวิจัย เยอะไปหมด ถ้าทำกิจกรรมโดยแยกกันเป็นส่วนๆ ทำให้รู้สึกว่ามีเวลาไม่พอ ขณะที่เขาทำงานที่คิดว่าแบ่งให้ลูกชายคนโต ในใจเขาก็คิดถึงงานที่จะต้องทำให้ลูกคนเล็ก และภรรยา
เดี๋ยวนี้สตีฟคิดใหม่ เวลาที่ให้ลูกชายคนโต ลูกคนเล็ก ภรรยา เขาถือว่าเป็นเวลาของเขาเองด้วยเหมือนกัน ขณะที่อ่านนิทานให้ลูกฟัง เขาให้ความสนใจในสิ่งนั้นร่วมกันกับลูก มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันกาลร่วมกับลูกชาย และเขาก็ทำเช่นนี้กับภรรยาด้วย และพบสิ่งที่น่าทึ่งมาก... เขามีเวลาไม่สิ้นสุดให้แก่ตัวเอง …ตำตอบของสตีฟ แม้จะไม่บอกว่าชีวิตครอบครัวเป็นอย่างไร ก็อนุมานได้ว่าช่วงหลังดีกว่าช่วงแรก คำอธิบายของสตีฟ บอกให้รู้ว่าความหมายของชีวิต เป็นสิ่งที่อยู่ภายในเนื้อตัวของเรา
ชีวิตไม่ได้จำกัดเพียงแค่ การหายใจ การกิน การนอนหลับ การเป็นอยู่ และการทำงาน อย่างหนึ่งอย่างใด แต่คือส่วนผสมรวมๆ กันของทุกสิ่งที่เราเกี่ยวข้องด้วย ไม่เว้นแต่สภาพแวดล้อม คน สัตว์ สิ่งของ ต้นไม้ สังคม ศาสนา การเมืองฯลฯ จะเห็นว่าในช่วงที่มีการเลือกข้างระหว่างสีเหลืองกับสีแดงในบ้านเรา เสียงจากข้างในตัวเราบอกว่าชีวิตช่วงนั้นแย่จริงๆ ลองทบทวนว่าเวลาที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กดดัน ปรักปรำ กล่าวโทษกัน หาคนผิด เรารู้สึกจากข้างในว่าไม่มีความสุข แม้คนที่ถูกปรักปรำไม่ใช่เรา
ดังนั้นจึงตอบคำถามโดยไม่ลังเลว่า วันนี้ทำอะไรให้แก่ชีวิตบ้าง และตัววัดก็ชัดมาก คือ ถ้าทำแล้วรู้สึกโปร่งเบา เบิกบานใจ แปลว่าเราให้สิ่งดีแก่ชีวิตแล้ว อย่างวันนี้เป็นต้น ถ้าถามว่าวันนี้ให้อะไรดีๆ แก่ชีวิต สิ่งแรกคือ การตื่นแต่เช้ามาถูบ้าน ทำให้บ้านแลดูสะอาด ขณะถูบ้านใจก็อยู่กับการถูทำให้อยู่กับปัจจุบัน การนั่งลงเขียนบันทึกเรื่องเล่าของตัวเองขณะนี้ ก็ถือว่าทำสิ่งดีให้ชีวิตอีกอย่างหนึ่ง เพราะทำให้ได้หยุดทบทวน และรู้ตัวว่าทำอะไรไปบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา บางครั้งได้เห็นการกระทำ คำพูดที่ไม่ดีของตนเอง ก็รู้ว่าเราจะไม่ทำอะไรที่ไม่ดีอย่างนั้นอีก และหากกลับไปแก้ไขได้ก็จะทำ เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกผิด การบันทึกจึงเท่ากับการยืนอยู่หน้ากระจกเงา มองดูพฤติกรรม ความคิดของตนเอง ได้ขัดเกลาตัวตน อย่างไรก็ตามเรื่องดีที่ทำให้แก่ชีวิตเรื่องที่สามในวันนี้ ก็คือการโทรศัพท์ไปหาพี่สาวสอบถามทุกข์สุข ตั้งแต่เสร็จงานศพคุณแม่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ยังไม่ได้ส่งข่าวถึงกัน หลังจากคุยกันจึงทราบข่าวร้ายว่าน้าชายที่ป่วยอยู่เสียชีวิตตามคุณแม่เราไปอีกคนแล้ว พี่สาวและน้องๆ กำลังกังวลใจว่าไม่สามารถไปร่วมงานศพได้ เพราะซินแสที่ทำพิธีฝังศพคุณแม่ขอร้องไว้ว่าก่อนตรุษจีนพวกเราไม่ควรไปงานศพใครๆ แม้แต่ญาติสนิท การทักท้วงไว้ก่อนสร้างความลังเลใจให้แก่พวกเรา เป็นเรื่องยากจริงๆที่จะทำใจเกี่ยวกับการไม่ไปงานศพครั้งนี้ แต่ก็ไม่อาจรับได้หากไปแล้วอนาคตมีอะไรเกิดขึ้น เป็นเรื่องของความเชื่อ แต่ที่สุดแล้วพี่สาวตัดสินใจไม่ไปร่วมงาน จึงรับอาสาโทรศัพท์ไปแสดงความเสียใจกับน้าสะใภ้ และบอกความจำเป็นที่จะไม่ได้ไปร่วมให้กำลังใจ หวังว่าน้าจะเข้าใจพวกเรา ขอให้วิญญาณของน้าไปจุติในภพภูมิสวรรค์
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554
สิบวัน...การเติบโต
สิบวันที่ผ่านมา มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในชีวิต ได้พบความรู้สึกของการสูญเสียสิ่งที่รัก ได้กระทำสิ่งที่มีคุณค่าสูงในโมงยามสุดท้ายของชีวิตของคนที่เรารัก ได้สลัด ละทิ้งพันธนาการด้านชีวิตการงาน ได้ต่อสู้กับความรู้สึกอยาก ไม่อยาก ในลาภยศ วนเวียนไปมาจนทำให้รู้สึกทุกข์ใจ แต่ ณ ขณะนี้ ขณะปัจจุบันนี้ รู้สึกตื่นขึ้นจากการหมกมุ่นกับความทุกข์ ด้วยเครื่องมือที่บังเอิญพบ เพื่อนจากเสม สิกขาลัย ชวนให้ดูหนัง และแนะนำurl ให้เข้าไปดูหนังตัวอย่าง จึงไปพบวิดีทัศน์ย้อนรอยชีวิตของท่านพุทธทาส ซึ่งคุณสุทธิชัย หยุ่น ไปสืบเสาะหาข้อมูลในเชิงเปรียบเทียบกับชีวิตของท่านติช นัท ฮัน ผู้เป็นปราชญ์ที่ใฝ่เจริญสติแตกต่างจากพระในลัทธิมหายานด้วยกัน มี ๓๖ ตอน ชมไปคิดไป ฉุกคิดได้ว่ากำลังทุกข์เพราะ ตัวกู ของกู จึงขอบันทึกคำที่ประทับใจของปราชญ์ทั้งสองไว้ "กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง"
"ตายเสียก่อนตาย คือ การดับความรู้สึกตัวกู ของกู ในขณะที่ยังมีชีวิต"
ขอเชิญชวนเข้าชมวิดีทัศน์ไปด้วยกันค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=fV3Zphpn4go&feature=related
"ตายเสียก่อนตาย คือ การดับความรู้สึกตัวกู ของกู ในขณะที่ยังมีชีวิต"
ขอเชิญชวนเข้าชมวิดีทัศน์ไปด้วยกันค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=fV3Zphpn4go&feature=related
วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554
แอร์พอร์ตลิงค์ 2011
เปิดศักราชปี2011 แอร์พอร์ตลิงค์ที่เราภูมิใจเสียเลือเกิน และเลือกเป็นวิธีการเดินทางไปทำงานทุกวัน ก็มาขึ้นราคาเสียแล้ว จาก15บาท เป็น35 บาท โดยเริ่มต้นที่ราคา10 บาท จากนั้นบวกไปสถานีละ 5บาท เราใช้บริการ 5สถานี ค่าใช้จ่ายจึงเพิ่มจาก วันละ30บาท เป็น 70 บาท เฉพาะค่าแอร์พอร์ตลิงค์เท่านั้นนะ ถ้ารวมค่าบีทีเอสเข้าไปอีกวันละ30บาทก็กลายเป็น100 บาท วันใดขึ้นรถคณะไม่ทันทั้งขาไปและกลับต้องใช้แท็กซี่ก็จะกลายเป็น 200 บาททันที อารมณ์เหมือนคนข้างล่าง
วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553
หมาน้อยผู้พิชิตดวงดาว
วันนี้มีเรื่องราวจากการ์ตูนคุณภาพเรื่องหนึ่งที่คิดว่าจะนำมาใช้สอนนักศึกษา อยากให้ผู้อ่านร่วมแสดงความเห็น เกี่ยวกับเนื้อหา ประเด็นคำถาม และกิจกรรมที่น่าจะใช้ มาร่วมออกแบบการสอนด้วยกัน
วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ทัศนะศึกษา ได้ทัศนาใจ
การไปทัศนศึกษาที่ไต้หวัน 5 วัน เป็นช่วงเวลาที่หยุดคิดเรื่องงานไประยะหนึ่ง ชีวิตในช่วง5 วันที่ผ่านมานั้นบางวันก็เบิกบาน บางวันก็ขุ่นมัว เหตุเพราะใจไปคอยตัดสินเปรียบเทียบโดยใช้โหมด I in me วันแรกได้พักโรงแรมที่เกษตรกรไต้หวันเปิดให้เข้าพัก บรรยากาศเป็นธรรมชาติมาก แต่ฝนตกทั้งวันจึงไม่มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ขึ้น วันที่สองได้พักบนเขาเป็นโรงแรมที่ทันสมัยมากห้าดาวก็ว่าได้ มีอ่างอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่นและให้แช่น้ำแร่ในห้องส่วนตัวด้วย ห้องสุขาก็แสนจะไฮเทค โถชักโครกอุ่นตลอดเวลา เสร็จกิจแล้วกดปุ่มน้ำจะพุ่งจากข้างล่างขึ้นมาชำระให้เป็นที่เรียบร้อย มีทั้งพุ่งเป็นสาย หรือพุ่งแบบฝอย อาหารเช้าก็สุดๆ ไปเลยมีปลาแซลม่อนดิบรับประทานกับสลัดสารพัดผักผลไม้ พอวันที่สามเกิดความไม่สมหวังเพราะห้องพักต่างกันราวฟ้ากับดิน ห้องแคบ เตียงเล็ก การแต่งห้องดูไร้รสนิยม น่าแปลกเพียงแค่คืนเดียวทำให้เราติดสุข และเกิดอารมณ์ไม่พอใจห้องพักได้ง่ายมาก คืนที่สี่ ห้องพักดีกว่าคืนที่สามเล็กน้อย ความรู้สึกของคนเราเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง แอบหงุดหงิดที่เห็นสามีภรรยาคู่อื่นเขาดูแลกัน เกิดการเปรียบเทียบกับคู่ของเรา ความไม่พอใจตามมา ทั้งที่เขาก็เป็นแบบของเขา คงเส้นคงวา ถ้าไม่มีคู่อื่นมาเปรียบเทียบก็รู้สึกปกติ กลับมาเมืองไทยแล้วได้ใคร่ครวญตัวเอง จึงเห็นมุมบวกได้ว่าดีเหมือนกันเป็นช่วงเวลาที่ได้ทดสอบตนเอง และเห็นตนเองว่าแท้ที่จริงแล้วเราเองก็เป็นนักตัดสินผู้อื่นเช่นกัน
วันนี้เป็นวันที่เดินทางไปทำงานด้วยแอร์พอร์ตลิงค์วันที่ 7 หลังกลับจากไต้หวันวันแรก คลาดแอร์พอร์ตลิงค์เที่ยวเจ็ดโมงยี่สิบห้า จึงถึงปลายทางพญาไทเกินแปดนาฬิกาไป15 นาที ต้องใช้บริการแท็กซี่จากพญาไทไปที่ทำงาน โดนไปห้าสิบบาท วันที่สองได้รับความร่วมมือจากลูกชาย เราจึงถึงแอร์พอร์ตลิงก์ก่อนเที่ยวเจ็ดโมงยี่สิบห้า ไปหนึ่งเที่ยว ถึงอนุสาวรีย์ก่อนแปดโมง ได้ใช้บริการรถของคณะฯพามายังที่ทำงาน แต่วันนี้วันที่สาม ขึ้นรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์เที่ยวเจ็ดโมงยี่สิบห้า ต่อรถบีทีเอส 1 สถานี ถึงอนุสาวรีย์ชัยฯ ก่อนแปดโมงไป10 นาที ปรากฎว่ารถเที่ยวสุดท้ายออกไปแล้ว ตัดสินใจเดินจากถนนโยธีไปที่ทำงานบนถนนพระรามหก แวบแรกที่พลาดรถเกิดอารมณ์ผิดหวัง และคิดว่าทำไมโชคร้ายจัง ไม่สายสักหน่อยทำไมรถออกก่อนเวลา แต่แว้บเดียวเท่านั้น เพราะจิตฝ่ายดีบอกว่าดีจังเป็นโอกาสให้เดินออกกำลังกาย ถ้าเราไม่พลาดรถก็คงไม่ได้เดินออกกำลังกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเรียกหา แต่ไม่เคยจัดตารางให้ตัวเองได้ แค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็มีความสุขขึ้นมาได้ทันใจ
วันนี้เป็นวันที่เดินทางไปทำงานด้วยแอร์พอร์ตลิงค์วันที่ 7 หลังกลับจากไต้หวันวันแรก คลาดแอร์พอร์ตลิงค์เที่ยวเจ็ดโมงยี่สิบห้า จึงถึงปลายทางพญาไทเกินแปดนาฬิกาไป15 นาที ต้องใช้บริการแท็กซี่จากพญาไทไปที่ทำงาน โดนไปห้าสิบบาท วันที่สองได้รับความร่วมมือจากลูกชาย เราจึงถึงแอร์พอร์ตลิงก์ก่อนเที่ยวเจ็ดโมงยี่สิบห้า ไปหนึ่งเที่ยว ถึงอนุสาวรีย์ก่อนแปดโมง ได้ใช้บริการรถของคณะฯพามายังที่ทำงาน แต่วันนี้วันที่สาม ขึ้นรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์เที่ยวเจ็ดโมงยี่สิบห้า ต่อรถบีทีเอส 1 สถานี ถึงอนุสาวรีย์ชัยฯ ก่อนแปดโมงไป10 นาที ปรากฎว่ารถเที่ยวสุดท้ายออกไปแล้ว ตัดสินใจเดินจากถนนโยธีไปที่ทำงานบนถนนพระรามหก แวบแรกที่พลาดรถเกิดอารมณ์ผิดหวัง และคิดว่าทำไมโชคร้ายจัง ไม่สายสักหน่อยทำไมรถออกก่อนเวลา แต่แว้บเดียวเท่านั้น เพราะจิตฝ่ายดีบอกว่าดีจังเป็นโอกาสให้เดินออกกำลังกาย ถ้าเราไม่พลาดรถก็คงไม่ได้เดินออกกำลังกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเรียกหา แต่ไม่เคยจัดตารางให้ตัวเองได้ แค่เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็มีความสุขขึ้นมาได้ทันใจ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)